สาคู ข้าวเกรียบปากหม้อ เปิดสูตรลับ ทำง่ายขายดี 30 ปี ใครอยากเรียนจะสอนให้ทำได้
[font=Tahoma,] [size=2][color=#000000][b]ขนมแบบไทยๆ เรานั้นมีหลากหลายมากมายนัก ทั้งประเภทนึ่ง อบ ต้ม ทอด ปิ้ง ย่างสารพัดอย่างนับไม่ถ้วน แตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่นและความนิยมของผู้บริโภค ขนมบางชนิดจัดเป็นขนมมงคลหรือจัดเป็นขนมประเพณีก็มีมากนี่แสดงว่าคนไทยเรามี ความผูกพันกับขนมมานมนานและแน่นอนว่าขนมบางชนิดขายดิบขายดีจนมีการทำเป็น อาชีพหรือการค้าสร้างรายได้[/b]ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชนได้มีการเปิดสอนขนมไทยหลายชนิด และล่าสุดนี้จะเปิดสอนขนมอีกหนึ่งหลักสูตรขนมชนิดนี้เชื่อว่าจะถูกใจใครหลาย คน เพราะเป็นขนมที่ตัวของมันเองขายได้คือไม่ต้องทำหลายอย่างให้วุ่นวาย แต่ทำเพียง 1-2 อย่าง ก็ขายคู่กันได้
นั่นก็คือ "สาคู ข้าวเกรียบปากหม้อ" เป็นขนม 2 ชนิดแต่ขายคู่กันในหม้อนึ่งเดียวกันพอเอ่ยชื่อออกไปหลายคนคงจะคุ้นเคยเป็น อย่างดีบางคนอาจจะเรียกว่าขนมสาคูไส้หมู แต่เชื่อหรือไม่ไส้ของขนมชนิดนี้ไม่มีหมูแม้แต่น้อย ซึ่งจริงๆ จะใส่หมูด้วยก็ได้แต่ที่นิยมกันกลายเป็นไส้หัวไชเท้าเสียนี่กระไร
ผมจะพาท่านไปรู้จักกับขนมสาคู ข้าวเกรียบปากหม้อเจ้าหนึ่งที่ตั้งร้านอยู่ไม่ไกลกับศูนย์อาชีพฯ มติชน มากนักคือตั้งร้านอยู่ที่ถนนริมคลองประปา ซอยโรงกรองน้ำบางซื่อร้านอยู่สุดซอยเกือบจะติดกับโรงกรองน้ำเลยทีเดียว ชื่อร้านว่า "อุบล สาคูข้าวเกรียบปากหม้อ" เจ้าของร้านมีชื่อว่า "จีรวรรณ สายเงิน" หรือชื่อเดิม"อุบล" ตามชื่อร้านนั่นละ
ที่มาที่ไปในการไปค้นพบร้านแห่งนี้มาจากคุณชาญสิทธิ์ สายเงิน ที่ทำงานเป็นผู้ตรวจ ประจำส่วนบำรุงรักษาคลองส่งน้ำการประปานครหลวง ซึ่งแวะเวียนจดๆ จ้องๆ มาที่มติชนหลายหนเพราะทราบว่ามีศูนย์อบรมสารพัดอาชีพที่คิดว่าแม่บ้านของตน เองน่าจะมาถ่ายทอดความรู้ในการทำขนมและอาหารต่างๆ ได้บ้างอีกทั้งก่อนหน้านี้หลานชายของคุณชาญสิทธิ์ เคยมาเรียนที่มติชนได้เล่าให้ฟังถึงการเปิดสอนอาชีพและตัวหลานชายคนนี้เองก็ เคยเล่าให้ผมได้ฟังว่า ตนเองมีป้าที่ทำขนมสาคูข้าวเกรียบปากหม้อได้อร่อยมาก
ผมได้ฟังครั้งแรกก็ยังไม่ติดใจเท่าไรนัก จนวันหนึ่ง คุณชาญสิทธิ์หิ้วเอาขนมที่ว่ามาชุดใหญ่ บอกว่าช่วยชิมดูเป็นขนมของภรรยาตนเอง ถ้าเห็นว่าอร่อยก็จะมาสอนให้ เพราะอายุเริ่มมากขึ้นลูก 2 คนไม่มีใครสืบทอดเลย ไปทำอาชีพค้าขายอย่างอื่นหมดทั้งที่น่าจะได้รับการเผยแพร่ออกไปคือมั่นใจว่า จะทำเป็นอาชีพได้เป็นอย่างดี
ผมชิมขนมสาคูเป็นคำแรกต่อด้วยข้าวเกรียบปากหม้อซึ่งปกติก็ไม่ค่อยจะชอบรับ ประทานขนมชนิดนี้เท่าไรนักแต่ก็ต้องยอมรับว่ารสชาติไม่เลว อร่อยกว่าหลายเจ้าที่เคยรับประทาน เพื่อนๆหลายคนก็บอกตรงกันว่า รสชาติผ่านอาจจะมีบางคนที่ติเรื่องแป้งข้าวเกรียบปากหม้อ ว่านิ่มไปบ้างแต่โดยรวมถือว่าน่าจะเป็นต้นแบบได้
เพื่อให้เห็นกับตาอย่างที่เขาบอกว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นผมก็ตัดสินใจไปที่ร้านในบ่ายวันหนึ่ง ประมาณ 16.00 น.ซึ่งเป็นช่วงที่ร้านเปิดพอดี ได้พบกับคุณชาญสิทธิ์ และคุณจีรวรรณซึ่งต่อไปนี้ผมจะขอเรียกว่า "อาจารย์ป้าจีรวรรณ"เพราะได้ตอบตกลงใจร่วมกันทั้งสองฝ่ายว่าจะมาเป็น "ครู"ให้กับผู้ที่ใคร่จะได้วิชา
อาจารย์ป้าจีรวรรณ เล่าให้ฟังว่าคลุกคลีกับอาชีพค้าขายมาตั้งแต่สมัยวัยรุ่นอายุ 17 ปีเริ่มจากอาชีพรับจ้างทั่วไป เพราะมีความรู้น้อย จบแค่ ป.4สถานที่ทำงานของเธอจะอยู่ในวัดสะพานสูงเสียเป็นส่วนใหญ่เพราะมีงานวัด อยู่เรื่อยๆ มีการออกร้านอยู่เนืองๆลักษณะงานที่ทำจึงเป็นลูกจ้างร้านค้าเหล่านั้นแล้ว แต่ว่าใครจะจ้างให้ทำอะไร
อยู่มาวันหนึ่งได้เห็นเพื่อนที่อยู่ร้านค้าใกล้กัน เขาทำสาคูไส้หมู เห็นทำเป็นจำนวนมากผัดไส้แต่ละครั้งเป็นกระทะ จึงเกิดความสนใจ และเข้าไปอาสาช่วยผัดไส้เขาก็สอนให้ใส่โน้นใส่นี่จนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่คิดว่าจะทำเป็นอาชีพในตอนนั้น ยังคงพิสมัยกับอาชีพรับจ้างทั่วไป
กระทั่งอายุได้ 28 ปี ได้มีครอบครัว มีลูกที่ต้องรับภาระรายจ่ายต่างๆเพื่อช่วยสามีอีกแรงหนึ่ง ก็คิดว่าน่าจะทำอาชีพอะไรที่เป็นของตัวเองขืนทำงานรับจ้างอยู่ต่อไปคงไม่ดี แน่ก็คิดขึ้นได้ว่าพอมีความรู้เรื่องการทำขนมสาคู ข้าวเกรียบปากหม้อจึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะนำความรู้มาใช้กับตัวเอง
ในการทำครั้งแรกไม่ยากนัก เพราะว่าเคยเป็นลูกมือช่วยเพื่อนทำมาก่อนแต่ก็ได้ปรับปรุงดัดแปลงสูตรตามรส ชาติที่ตัวเองคิดว่าอร่อยและเปิดขายที่หน้าบ้านซึ่งตั้งอยู่ใกล้วัด ก็ปรากฏว่าขายได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ดี ในการขายช่วง 10 ปีแรก ทำๆ หยุดๆเพราะว่ามีความรู้ในการทำขนมและอาหารอื่นๆ ออกขายสลับจนบางครั้งถึงกับทิ้งสาคู ข้าวเกรียบปากหม้อ จนเมื่อ 20ปีที่ผ่านมานี้ได้ทำขายอย่างจริงจังแม้ว่าจะทำขนมและอาหารอย่างอื่นออกขาย บ้างแต่ก็ไม่เคยทิ้งขนมตัวนี้
เพราะอะไรจึงมีความผูกพันกับสาคู ข้าวเกรียบปากหม้อทั้งที่ได้ทราบจากการคุยเบื้องต้นว่า อาจารย์ป้าจีรวรรณ ทำหอยทอดผัดไทยได้อร่อยมาก ยิ่งข้าวเหนียวมะม่วง ช่วงหน้ามะม่วงต้องใช้ข้าวเหนียววันละ 2กระสอบใหญ่ เทียบเป็นรายได้ก็หลักหมื่นบาทขึ้นไป
คำตอบก็คือว่าสาคู ข้าวเกรียบปากหม้อ ทำขายได้ทุกวัน เป็นอาหารว่างรับประทานเล่นๆทำคนเดียวก็ทำได้ ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องเตรียมของอะไรมาก ผิดกับหอยทอด ผัดไทยต้องอยู่หน้าเตาไฟผัดกันตลอดทั้งวันและข้าวเหนียวมะม่วงจะขายได้ดี เฉพาะช่วงที่มีมะม่วงออกเยอะ ปีหนึ่งๆก็มีแค่เดือนมีนาคม-เมษายนเท่านั้น
ที่สำคัญที่สุดอาจารย์ป้าจีรวรรณมีความผูกพันกับลูกค้าผู้มีอุปการคุณ ที่สั่งขนมสาคูข้าวเกรียบปากหม้อทุกวัน สมัยที่พรรคความหวังใหม่ยังรุ่งเรืองและที่ทำการพรรคตั้งอยู่ไม่ไกลกัน คุณหญิงหลุยส์-พันธุ์เครือ ยงใจยุทธ(ภรรยา พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรค)ได้สั่งไปเลี้ยงลูกพรรคอยู่เรื่อยๆ สัปดาห์ละ 400 กล่องและทราบว่าตัวคุณหญิงหลุยส์ ชอบรับประทานเป็นอย่างมากลูกค้าประจำอีกรายหนึ่งคือ โรงพยาบาลนนทเวช ทุก 2-3 วัน จะสั่งอย่างละ 150ลูก รวม 2 อย่าง 300 ลูก ทราบว่านำไปเลี้ยงผู้ป่วยในโรงพยาบาลและเกือบทุกครั้งจะมีหมอ พยาบาล สั่งใส่กล่อง กล่องละ 20 บาท พ่วงมาด้วยและลูกค้าประจำอีกรายจะเป็นแม่ค้าที่ตลาด อ.ต.ก. จะสั่งทุกวัน อย่างต่ำ100 ลูก และวันที่มีออร์เดอร์เยอะๆ จะสั่งอย่างละ 350-500 ลูกอีกทั้งมีลูกค้าที่สนามบินสุวรรณภูมินี่ยังไม่นับรวมลูกค้ารายย่อยขา ประจำที่แวะมาซื้อที่ร้านคนละกล่องสองกล่องเรียกว่าหยุดไปวันไหนจะมีลูกค้า มาถามหาทันทีว่าหายไปไหน
กับการตัดสินใจมาเปิดสอน ซึ่งจะต้องใช้เวลาครั้งละ 1 วัน อาจารย์ป้าจีรวรรณบอกว่าตอนนี้ไม่น่าห่วง เพราะมีตัวตายตัวแทน คือหลานสาวสามารถมารับผิดชอบงานขายไปได้แล้ว
เหตุผลที่ตกลงปลงใจมาเปิดสอนให้กับผู้สนใจที่ศูนย์อาชีพฯ มติชน เพราะคิดว่าอายุเริ่มมากขึ้นทุกวันในขณะที่ความรู้ที่ตนเองมีอยู่หากไม่ถ่าย ทอดให้คนรุ่นหลังก็จะไม่มีคนสืบทอดซึ่งมั่นใจว่าใครที่ได้สูตรไปจะสามารถยึด เป็นอาชีพได้เป็นอย่างดี
"ตัวเองอายุ 60 ปีเข้าไปแล้วความรู้ที่มีอยู่ก็มากพอที่จะถ่ายทอดคนอื่นได้บ้าง ที่ผ่านมามีคนมาขอสูตรถามสูตรอยู่เหมือนกัน แต่ก็นั่นแหละไม่ค่อยมีใครจะสนใจทำจริงจังสักเท่าไรทั้งที่เป็นอาชีพที่มี รายได้ดี" อาจารย์ป้าจีรวรรณ กล่าวย้ำและบอกว่าให้ดูตัวเธอเองที่มีรายได้จนสามารถส่งลูกให้เรียนจบปริญญา ตรี
ทุกวันนี้ยังมีหลาน 2 คน ที่นำสูตรสาคู ข้าวเกรียบปากหม้อไปขายคือหลานคนแรกขายอยู่ที่ย่านบางพลัด หน้าโรงเรียนสตรีบูรณวิทย์ใกล้ห้างโลตัส อีกคนขายที่ย่านแจ้งวัฒนะ ซึ่งก็ขายได้ดีเช่นกัน
วกมาที่เรื่องการเปิดสอน ซึ่งจะใช้เวลา 1 วัน เริ่มตั้งแต่ 09.00 น.จะแนะนำเรื่องวัตถุดิบจำพวกเครื่องปรุงชนิดต่างๆและอุปกรณ์ที่ต้องใช้ว่า มีอะไรบ้าง ถัดจากนั้นจะสอนการผัดไส้สาคูแนะเคล็ดลับต่างๆ ต่อด้วยการแช่แป้งสาคู
ช่วงบ่าย (13.00 น.)จะเริ่มผสมแป้งสาคูและข้าวเกรียบปากหม้อ สอนการปั้นแป้งสาคูและเริ่มปฏิบัติการทำสาคู และข้าวเกรียบปากหม้อ บนหม้อนึ่งโดยผู้สอนจะสาธิตให้เห็นทุกขั้นตอนจากนั้นให้ผู้เรียนผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนกันทำ โดยจะแบ่งเป็น 2 ชุด 2 กลุ่มเพื่อให้ทั่วถึงกัน
ปิดท้ายจะสอนเรื่องต้นทุนกำไร เทคนิคการค้าขาย การบริการให้ประทับใจลูกค้า ตลอดจนการลงทุนเริ่มต้น บอกแหล่งซื้อวัตถุดิบต่างๆ
สำหรับการลงทุนเริ่มต้นจะหนักบ้างตรงที่ต้องมีหม้อนึ่ง 1 ชุด ตกราคา 3,000 บาทซึ่งจะมี 3 กรวย (ดูจากรูป) ใช้ทำสาคู 1 กรวย อีก 2 กรวยจะเป็นข้าวเกรียบปากหม้อ ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ จะมีถาดสเตนเลส หม้อ กระทะเตาแก๊ส ฯลฯ เบ็ดเสร็จจะใช้เงินลงทุน ประมาณ 6,000 บาทก็จะได้อุปกรณ์ครบชุด รวมทั้งเป็นเงินหมุนเวียนในการซื้อวัตถุดิบต่างๆ
จากเรื่องราวทั้งหมดที่ได้บอกเล่ามานี้ก็คิดว่าคงพอจะเป็นข้อมูลในการตัดสิน ใจมาเรียนได้ระดับหนึ่ง ขอย้ำว่าสาคูรสชาติหวานมันอร่อย เนื้อแป้งนุ่มนวลเหนียวไม่เละ ไม่กระด้าง เช่นเดียวกับข้าวเกรียบปากหม้อเก็บไว้ได้นานไม่คืนตัว รับประทานกับผักกาดหอม ผักชี พริกขี้หนูสวนอร่อยนักแล อ๋อ!...ผักชีของร้านนี้รากสะอาดสะอ้านเพราะเขามีกรรมวิธีการล้างที่พิถี พิถันนั่นเอง (ถ้ารากผักชีไม่สะอาดแสดงว่าไม่ใช่ของแท้-เจ้าของฝากบอกมา)
หรือใครจะลองไปพิสูจน์รสชาติก่อนมาเรียน ก็ไม่ผิดกติกาใดๆ จากคลองประปาประชาชื่น ให้ตรงไปสี่แยกไฟแดงตรงถนนบางซื่อ-เตาปูนตัดผ่าน หัวมุมจะมีศูนย์จำหน่ายรถกระบะอีซูซุเข้าไปเกือบสุดถนน ทางเดียวกับที่ไปโรงกรองน้ำบางซื่อ ถามหาร้านสาคูข้าวเกรียบปากหม้อ จะรู้จักกันดี
[b]ต่อเมื่อมั่นใจแล้วจะโทรศัพท์สมัครเรียน เพื่อเป็นศิษย์รุ่นแรก (เปิดสอน วันที่ 5 ตุลาคม2551)ก็ใช้เบอร์โทร. (02) 589-2222 ต่อ 2100-2103 ค่าเรียน 1,605บาท...เหมือนเดิมครับ [/b]
[b]ทำขนม ขายตามฤดูกาล
ทำได้ดี ไม่มีจน...
พร้อมแบ่งปันความรู้[/b]
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ระยะหลังๆ มานี้มีหลายท่านที่ได้สอบถามว่าเมื่อไรขนมแบบไทยๆ จะเปิดสอนบ้างจึงเป็นหน้าที่ของผมที่จะเสาะแสวงหาผู้มีความรู้ มีประสบการณ์มาทำการเปิดสอน บางครั้งก็หายากอยู่เหมือนกัน คนที่พร้อมจะสอนหรือพร้อมจะทำหน้าที่เป็น "ครู" นั้นใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆยิ่งเวลานี้สังคมของบ้านเราเห็นแก่ตัวกันมากขึ้นทุก วันมีอะไรกระทบกระทั่งกันนิดๆ หน่อยๆ ก็กลายเป็นเรื่องเป็นราวจะเป็นจะตายกันให้ได้
ผมว่าสังคมไทยต้องรู้จักให้อภัยแก่กันและสิ่งสำคัญ มีอะไรดีก็ต้องแบ่งปันกัน เพื่อความปกติสุขจะบังเกิดขึ้นอย่านิ่งดูดาย หากตัวเรามีอะไรที่พอจะช่วยเหลือกันได้ก็ต้องช่วยเหลือกันไป
ฉบับนี้ผมมีวิทยากรใหม่ที่มีจิตใจมุ่งมั่นพร้อมจะแบ่งปันความรู้ที่มีอยู่ ให้กับผู้สนใจในเรื่องของขนมไทยหลากหลาย นามว่า "ลดาวัลย์ เดชะวุฒิพงษ์"
เธอผู้นี้เปิดร้านขายขนมมานมนาน โดยขายที่หน้าบ้านของตนเองที่ตลาดเช้าเซ็นต์หลุยส์ ถนนจันทน์ เขตสาทร ตั้งแต่ช่วง 05.00-10.00 น.ขายไปขายมารู้สึกว่าประสบการณ์พอเพียงที่จะทำหน้าที่เป็นวิทยากรสอนคนอื่น ได้บ้าง
[b]รู้จักวิทยากร[/b]
อาจารย์ลดาวัลย์จบมัธยมศึกษาปีที่ 5 จาก โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย กรุงเทพฯ ปี พ.ศ. 2535เข้ารับการอบรมวิชาคหกรรมศาสตร์ (จากวิทยาเขตพระนครใต้)
ได้ทำอาชีพค้าขายมาตั้งแต่เด็ก กับคุณพ่อ คุณแม่ มองว่าการทำขนมขายน่าจะเป็นอาชีพ
อย่างหนึ่ง จึงเข้ารับการอบรมและสำเร็จหลักสูตรขนมไทย-อาหารไทย จากสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตพระนครใต้ เมื่อปี 2539
จากนั้นมาก็ประกอบอาชีพขายขนมไทยมาตลอดขนมที่เคยขายมีมากมายหลายรายการเน้น ขายหมุนเวียนไปตามฤดูกาลและเทศกาลต่างๆ หรือตามที่ลูกค้าสั่ง
อาจกล่าวได้ว่าประสบความสำเร็จในงานขายขนมไทยพอสมควรมีรายได้ที่สามารถสร้าง ครอบครัวเล็กๆ ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีรวมเวลาที่ประกอบอาชีพขายขนมมานาน 17 ปี
จุดเด่นของขนมที่ทำขายเป็นขนมหารับประทานได้ทั่วไป สามารถเป็นขนมในพิธีมงคลต่างๆ ได้ความอร่อยอยู่ที่รสชาติ สามารถเป็นของฝากให้ผู้ใหญ่ในเทศกาลต่างๆใช้เป็นขนมต้อนรับแขกต่างเมืองได้
"ช่วงเทศกาลตรุษจีน สารทจีน จะมีรายได้จากการทำขนมที่เกี่ยวเนื่องมาก จนสามารถ
มีเงินเก็บ+ซื้ออุปกรณ์ชิ้นใหญ่ได้ หรืออย่างเทศกาลกินเจ ทำขนมกล้วย ฟักทอง และขนมชนิดอื่นๆ ก็ไปได้ดีมาก
เคยออกรายการโทรทัศน์ของช่อง 3 และช่อง 11 ช่วงยุคเศรษฐกิจตกต่ำ ในรายการ
"เพื่อนคู่คิด" เพื่อสนับสนุนให้คนส่วนใหญ่ที่ตกงานได้มีรายได้และมีกำลังใจต่อสู้ต่อไป" อาจารย์ลดาวัลย์พูดถึงความประทับใจในอาชีพขายขนมช่วงที่ผ่านมา
[b]ตัวอย่างขนมที่ขาย[/b]
อย่างที่บอกไว้ข้างต้น อาจารย์ลดาวัลย์ จะเน้นการขายขนมหมุนเวียนตามฤดูกาลหรือเทศกาลที่สำคัญ ตัวอย่างเช่น ช่วงต้นปีเดือนมกราคม อากาศยังหนาวอยู่และเพิ่งพ้นเทศกาลปีใหม่หยกๆ จะขายพวกชิฟฟ่อนเค้กใบเตยโรยหน้ามะพร้าวเค้กผลไม้ต่างๆ โดยเฉพาะเค้กส้ม เป็นที่นิยมของลูกค้าขาประจำว่าอร่อยมาก
เดือนกุมภาพันธ์ ใกล้เทศกาลตรุษจีน จะทำขนมเทียน ขนมเข่งออกขาย ซึ่งขายดิบขายดีมาก
เดือนมีนาคม-เมษายน จะทำซาลาเปา และกะหรี่ปั๊บออกขาย ซึ่งจะมีหลากหลายไส้ โดยเฉพาะซาลาเปา จะเป็นตัวยืนทำขายเกือบทั้งปี
เดือนพฤษภาคม-มิถุนายน-กรกฎาคม จะยังขายซาลาเปา แต่จะแซมด้วยขนมกล้วย ฟักทอง โดนัทเนยสด ฯลฯ
เดือนสิงหาคม จะกลับมาขายขนมเทียน ขนมเข่ง และปุยฝ้ายอีกครั้งหนึ่ง เพื่อรับเทศกาลสารทจีน
เดือนกันยายน-ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลกินเจ จะขายขนมกล้วย ฟักทอง ซาลาเปา และกะหรี่ปั๊บเจ
เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ใกล้จะถึงวันปีใหม่ เตรียมขายพวกขนมเค้กต่างๆซึ่งจะขายดีช่วงใกล้วันปีใหม่ ต่อเนื่องไปถึงเดือนมกราคมของอีกปี
นอกจากขนมดังกล่าว ยังทำขนมอื่นๆ ขาย เช่น หยกมณี ทับทิมกรอบ ขนมดอกจอกกรอบเค็ม วุ้นมะพร้าวอ่อน สังขยาจิ้มขนมปัง น้ำสลัด (สูตรน้ำข้น)ขนมเปี๊ยะ คุกกี้ ฯลฯ
[b]พร้อมเปิดสอน 3 วิชา [/b]
วิชาขนมที่จะเปิดสอนตามที่อาจารย์ลดาวัลย์ ได้นำเสนอมานั้นมีมากมายหลากหลายรายการ แต่ที่จะเลือกมาสอนนั้นจะจับกลุ่มเป็น 3 วิชาก่อน
วิชาที่ 1 เป็นขนมไทยประเภทนึ่ง ซึ่งจะมีสอน 4 รายการ คือ ขนมกล้วย ขนมฟักทอง ขนมชั้น และขนมมันสำปะหลัง
รูปแบบของขนม จะเน้นการทำที่รวดเร็วเหมาะกับยุคสมัย เช่น ขนมกล้วยและขนมฟักทองจะทำในพิมพ์เล็กๆ เช่นเดียวกับขนมชั้นและมันสำปะหลังจะทำในพิมพ์รูปกระต่าย จะไม่ทำเป็นถาดแต่จะสอนให้นำไปดัดแปลงเป็นถาดได้
(ค่าเรียน 1,605 บาท เปิดสอน วันที่ 19 ตุลาคม 2551)
วิชาที่ 2 ขนมมงคลคนจีน จะสอนทำขนมเข่ง ขนมเทียน และขนมปุยฝ้าย
จุดเด่นของขนมเข่ง แป้งจะนุ่ม ถ้าไม่โดนน้ำเก็บไว้ได้ 1 สัปดาห์เช่นเดียวกับขนมเทียน แป้งเหนียวนุ่ม เก็บไว้ได้ 3-4 วันไม่ขึ้นราส่วนปุยฝ้ายก็อร่อยไม่แพ้กัน แป้งจะหอมนุ่มไม่กระด้าง
(ค่าเรียน 1,605 บาท เปิดสอน วันที่ 25 ตุลาคม 2551)
วิชาที่ 3 ขนมไทยประเภทกวน ประกอบด้วย ขนมหยกมณี ขนมตะโก้ไส้ต่างๆ คือ ไส้สาคู เผือก แห้ว และข้าวโพด
รูปแบบการทำขนมตะโก้ไส้ต่างๆ จะทำใส่ถ้วยพลาสติคเพราะที่ผ่านมามักจะทำคนเดียวไม่ได้มีลูกมือช่วย จึงไม่ใช้ใบตองแต่ก็จะสาธิตให้ดูชมพอเป็นแนวทาง
(ค่าเรียน 1,605 บาท เปิดสอน วันที่ 26 ตุลาคม 2551)
ขนมแต่ละชนิดที่อาจารย์ลดาวัลย์ เลือกสรรมาสอนนั้นเธอมั่นใจมากว่าอร่อยไม่น้อยหน้าใครคิดดูก็แล้วกันว่าวัน ใดที่หยุดขายลูกค้าจะถามหาทันที ลูกค้าบอกว่าหาซื้อจากท้องตลาดทั่วไปก็ไม่อร่อยเท่าซึ่งขนมของเธอจะเน้น คุณภาพของวัตถุดิบ เช่น ขนมกล้วยหรือขนมฟักทองก็จะเน้นเนื้อของกล้วย และฟักทองไม่ผสมแป้งมากเกินไปจนเสียรสชาติของความเป็นขนมชนิดนั้นๆ
ขนมทุกชนิดทุกรายการที่สอนนั้น จะเป็นสูตรที่เรียนจากสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตพระนครใต้ แต่เป็นสูตรที่มีการประยุกต์จากประสบการณ์ของตนเองซึ่งจะเหมาะกับผู้สนใจที่ ต้องการนำไปทำเป็นการค้าแบบที่ว่าไม่ต้องไปลองผิดลองถูกกันให้เสียเวลานาน แต่สามารถนำไปต่อยอดหรือพัฒนาเพื่อทำขายได้ทันที
รายละเอียดวันเวลาเปิดสอน และวิธีสมัครเรียน ตรวจสอบได้จากตารางโปรแกรมอบรมเดือนกันยายน-ตุลาคม 2551
[b]หนังสืออาหารทำเงิน
เคล็ดลับจากครู 3
ออกวางจำหน่ายแล้ว[/b]
ขอฝากข่าวไปยังทุกท่านที่ถามหาหนังสืออาหารทำเงิน เคล็ดลับจากครู 3 โดย ลุงพร ชอนอาชีพ ว่าเมื่อไรจะออกวางจำหน่ายสักที
บัดนี้ได้ฤกษ์ออกวางจำหน่ายตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศแล้ว
ขอให้ช่วยบอกต่อๆ กันไปด้วย เพราะว่าเล่มนี้มีทีเด็ดเคล็ดลับคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงแม้ว่าเล่มจะเล็กลงนิด หน่อยเมื่อเทียบกับเล่ม 1-2แต่ก็ไม่เอาเปรียบ เมื่อเล่มเล็กลงราคาก็ลดลง คือเล่มละ 200 บาทจากที่เคยขายเล่มละ 250 บาท
เนื้อหาสาระในเล่มนี้ มีอยู่ด้วยกัน 10บทเรียน 10 สูตรเด็ดแต่ละสูตรมั่นใจว่าอ่านทำความเข้าใจสักเที่ยวสองเที่ยวก็จะสามารถลง มือทำตามได้
ประกอบด้วย กล้วยทอดสูตรเชฟนอก (สูตร อาจารย์วิทย์ จุลมุสิอดีตเชฟคนไทยที่ได้รับการคัดเลือกไปขุดทองที่ประเทศอังกฤษ) ไก่ทอดหาดใหญ่(สูตร อาจารย์ศุภพิชญ์ โอภาสวิศิลย์ อดีตหัวหน้าโครงการอบรมอาหารยุโรปโรงเรียนการอาหารนานาชาติสวนดุสิต มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต)ขาหมูสูตรเตาถ่าน (สูตร อาจารย์ศุภกร ขำละเอียด) ข้าวหมกไก่สูตรต้นตำรับ(สูตร อาจารย์สุจิตรา ศรีนวล) ข้าวหมูแดงหมูกรอบ สูตรพริกแกง (สูตรอาจารย์กนกวรรณ คำผิว) ข้าวเหนียวมูน 7 สี 7 หน้า (สูตร อาจารย์อัจจิมาปิ่นรัตน์) น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋โซ้ยตี๋ (สูตร อาจารย์กิตินากองอนันตพงษ์) ส้มตำไฮโซ (สูตร อาจารย์วงเดือน โกษะโยธิน) ไอศกรีมชาวบ้าน(สูตร อาจารย์มนตรี กะตากูล) และ อาหารญี่ปุ่น ประเภทข้าวปั้นและข้าวห่อสาหร่าย (สูตร อาจารย์อรรถพล ทองสิมา)
นอกจากนี้ ยังมีสูตรเทียบเคียงที่เกี่ยวข้องอีก เช่น กล้วยทอดสูตรออมสิน กล้วยทอดร้อยหวี ไก่ทอดหาดใหญ่ขายตลาดนัด ฯลฯ
แต่ละสูตรล้วนเลือกสรรว่าทำขายได้จริง ที่สำคัญทำง่าย ไม่ยุ่งยากมากนักครูแต่ละท่านเปิดเผยความรู้ได้หมดจด ไม่ปิดบังแต่ก็นั่นแหละต้องยอมรับว่าการทำอาหารจากหนังสือมันก็ไม่เหมือน เรียนในห้องเรียนจริงๆ แต่ก็เชื่อว่าจะเป็นแนวทางในการเริ่มต้นที่ดี
ภาวะเศรษฐกิจช่วงนี้อาจจะมีปัญหาอยู่บ้างในการที่จะเริ่มต้นลงทุนสิ่งใดแต่ ก็อย่าท้อแท้ใจ มีบ้างที่บางครั้งท่านอาจหมดหวังหมดกำลังใจก็ขอให้เดินออกไปที่ถนน ท่านจะได้เห็นผู้คนขวักไขว่ รถราวิ่งแล่นไปมาหลายชีวิตกำลังมุ่งมั่นกับหน้าที่การงาน หลายอาชีพที่กำลังดำเนินไปคงจะมีสักอาชีพหนึ่งที่เหมาะกับตัวเราที่เราทำได้
หนังสืออาหารทำเงิน เคล็ดลับจากครู ทั้ง 3 เล่มพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งเพื่อสร้างความหวังและกำลังใจให้กับทุกท่านที่ จะก้าวเดินไปในอาชีพทำอาหารขาย
[b]อนึ่ง ท่านที่หาซื้อหนังสือตามร้านไม่ได้ กรุณาติดต่อสั่งซื้อที่บริษัท งานดี ในเครือมติชน โทร. (02) 580-0021 ต่อ 3324, 3327
แหล่งที่มาจาก เส้นทางเศรษฐี
[/b][/color][/size][/font]